การศึกษาสาร Phytochemical ในผักด้วยตัวทำละลายต่าง ๆ

ฟักทองร่องยักษ์

การทดสอบหาสาร Phytochemical ที่ได้จากตัวทำละลายประเภทต่าง ๆ ในผักที่ทดลอง

บทคัดย่อ

เราวิเคราะห์สารประกอบชีวภาพ ที่ได้จากการสกัดใบของ ผักกาดป่า ดอกไฟร์วีด (Fireweed) ฟักทองร่องยักษ์ (Fluted Pumpkin) และใบคะน้าเม็กซิโก (Tree Spinach) ในสารละลาย ดังต่อไปนี้ น้ำ เมทานอล เอทิลอะซิเตท และสารสกัดคลอโรฟอร์ม ผักที่ใช้ในการสกัดสาร ถูกนำมาล้าง หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตากให้แห้งที่อุณหภูมิห้อง และร่อนผ่านตะแกรง หลังจากนั้นนำไปชั่งน้ำหนัก และแช่ในสารละลายประเภทต่าง ๆ (น้ำ เมทานอล เอทิลอะซิเตท และสารสกัดคลอโรฟอร์ม) ในอัตราส่วน 1:10 เป็นเวลา 72 ชั่วโมง ในขวด reagent ที่มีการเขย่าเป็นระยะ ๆ หลังจากนั้นจะกรองจะนำสารที่ผ่านการกรองมาทำระเหยโดยการใช้เครื่อง Rotary Evaporator มีการวัดปริมาณสารสกัดที่ได้จากขั้นตอนนี้ และนำมาวิเคราะห์หาค่า Phytotochemicals จำนวน 10 ชนิด ดังนี้ ฟลาโวนอยด์ ฟีนอล ซาโปนิน แทนนิน น้ำมันหอมระเหย แอนทราควิโนน สเตียร์รอยด์ ไกลโคไซด์ น้ำตาลรีดิวซ์ ผลการทดลองแสดงปริมาณสารสกัดจาก ใบฟักทองร่องยักษ์ สูงสุด ที่ 3.083 – 11.737% ปริมาณสารสกัด ต่ำสุด มาจาก ดอกไฟร์วีด ที่ 2.302 – 5.733% ในขณะที่ปริมาณสารที่ได้จากการสกัด ผักกาดป่า และ ใบคะน้าเม็กซิโก ด้วยตัวทำละลายทั้งสี่ชนิด อยู่ที่ 2.857 – 9.049% และ 1.329 – 6.896% ตามลำดับ งานวิจัยนี้ค้นพบว่าการสกัดสาร Phytochemicals ด้วย เมทานอล และคลอโรฟอร์ม มีประสิทธิภาพมากที่สุด นอกจากนี้ใบฟักทองร่องยักษ์กับ ใบคะน้าเม็กซิโก ยังมีปริมาณสาร Phytochemicals มากกว่า ใบจากต้นไฟร์วีด และ ผักกาดป่า

คำสำคัญ: Phytochemicals, ตัวทำละลาย, สารสกัด, ผัก

บทนำ

สารประกอบชีวภาพ หรือที่รู้จักกันในชื่อของสารประกอบ Phytochemical ประกอบด้วยสาสสารชีวเคมีหลากหลายชนิด ในปริมาณเล็กน้อย ที่ได้จากพืช และมีบทบาทสำคัญในการป้องกันสภาวะความเครียดอันเกิดจากปฏิกริยาออซิเดทีฟ อันเนื่องมาจากปริมาณอนุมูลอิสระและสารต้านอนุมูลอิสระบางชนิด สาร Phytochemical ช่วยป้องกันการเกิดโรคบางชนิด อาธิ เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน (Arawande et al., 2021a) และมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ สารประกอบเหล่านี้ทำหน้าที่ควบคุม สารชีวเคมีที่ทำหน้าที่สื่อสาร ในร่างกายมนุษย์ ที่เรียกว่าฮอร์โมน (Joao, 2012; Abiodun et al., 2017) และยังเป็นสารประกอบตั้งต้นที่ใช้ในกระบวนการผลิตยา (Sahira & Cathrine, 2015)

ผักถือเป็นแหล่งที่มาที่สำคัญของสารอาหารบางชนิด เช่น แร่ธาต วิตามิน โปรตีน และเส้นใย ซึ่งร่างกายจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน และเราสามารถรับประทานผักแบบดิบ ๆ ได้ ด้วยการรับประทานเป็นสลัดผัก หรือด้วยการนำไปปรุงอาหาร เป็นน้ำซุป หรือเป็นซอส (Joao, 2012) และยังช่วยดักจับอนุมูลอิสระ จึงถือเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญ(Arawande et al., 2021b) นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญ ซึ่งทำหน้าต่อต้านโรคภัยหลายชนิด (Abiodun et al., 2017)

Epilobium agustifolium เป็นไม้ ในวงศ์ Onagraceae มี ชื่อพ้องว่า Chamaenerion angustifolium ผักชนิดนี้เรียกว่า ต้นไฟร์วีด เป็นที่รู้จักในทวีปอเมริกาเหนือ หรือ เรียกว่า ต้นสมุนไพรเกรทวิลโลว์ (Great Willow Herb) ในแคนาดา ในอริเตนและไอส์แลน รู้จักกันในชื่อของ และต้นวิลโลว์โรสเบย์ (Wikipedia, 2021) พืชผักชนิดนี้มี ประโยชน์ในการรักษาอาการของโรคบางชนิด เช่น อาการปวดท้อง แผล หรือใช้รักษาโรคผิวหนัง เนื่องจากมีสรรพคุณทางยา ต่อร่างกาย หากรับประทานสม่ำเสมอยังช่วยป้องกันโรคมะเร็ง (Dreger et al., 2020) นอกจากนี้ยังพบสาร secondary metabolites อันมีฤทธิ์ในการบำบัด ในต้นไฟร์วีด จึงถือว่าเป็นต้นผัก ที่เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และต้านแบคทีเรีย ต้าน antrogenic (Anna et al., 2021; Adnortey et al., 2019; Igoret al., 2009). (ผู้แปล – Androgenic – ฮอรฺโมนแอนโดรเจน )ฃ

Cindosculus chayamansa หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าคะน้าเม็กซิโกเป็นผักในวงศ์ Euphorbiaceae (Chidi et al,2013) และมักปลูกกันทั่วไปในประเทศเม็กซิโก โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าใหญ่ ชื่อในภาษาอังกฤษคือ tree spinach ปลูกโดยการตัดตอนกิ่ง เมื่อตัดแล้วจะมีน้ำยางสีขาวขุ่นออกมา สามารถโตจนสูงประมาณ 4-5 ซม. (Kuri-Garcia et al., 2017) มีการนำคะน้าเม็กซิโกไปใช้ในการรักษาโรคเรื้อรัง และโรคที่มีอาการเกี่ยวกับปฏิกริยาออกซิเดทีพ เนื่องจากพืชชนิดนี้มีสารประกอบพีนอลิค และสารต้านอนุมูลอิสระ (Chidi et al., 2013; Kuri-Garcia et al., 2017) และยังเป็นพืชที่เหมาะกับการรับประทาน เนื่องจากมีโปรตีน โพแทสเซียม และวิตามินต่าง ๆ มี β- carotene แคลเซียม กรดแอสคอร์บิก และแร่ธาตุหลายชนิด สามารถรับประทานได้ด้วยการใส่ไปในซุป หรือผสมกับผักชนิดต่าง ๆ หากรับประทานเป็นประจำ ช่วยป้องกันสภาวะขาดสารอาหาร และยังใช้เป็นไม้ประดับ ได้อีกด้วย (Chidi et al., 2013; USAID, 2013)

Launaea taraxacifolia ถือเป็นผักมีใบทั่วไป มีสีโทนเขียว แพร่พันธุ์ได้ในดินหิน (Bello et al., 2018) เป็นพืชที่พบได้ทั่วไปในทวีปแอฟริกา โดยเฉพาะในโซนตะวันตกของประเทศไนจีเรีย เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ผักกาดแอฟริกัน หรือ ผักกาดป่า (Wild Lettuce) ทางตะวันตกของประเทศไนจีเรียเรียกผักชนิดนี้ว่า “Efo yanrin orOdundun odo” ขณะที่ทางตอนเหนือของประเทศไนจีเรีย จะเรียกว่า “Namijin dayri, Nomen barewa and Nonan barya” นอกจากไนจีเรีย บางประเทศในทวีปแอฟริกา เช่น กาน่า Dahomey และ Sierra Lorne ยังปลูกผักชนิดนี้ (Bello et al., 2018) Launaea taraxacifolia มีคุณสมบัติทางยา (Borokini & Labumi, 2017) เนื่องจากมีสาร phytochemicals ซึ่งนำไปใช้ทำยารักษาโรคได้ มีประโยชน์ต่อการรักษาโรคไมเกรน รักษาโรคเยื่อบุตาอักเสบ (Sakpere & Aremu, 2008) ผักกาดป่า นี้ช่วยรักษาโรคทางเดินปัสสาวะ โรคเบาหวาน (Adinortey et al.,2018) ป้องกันโรคไอกรน และเพิ่มปริมาณน้ำนมในวัวนม (Bello et al., 2018) เราสามารถนำผักชนิดนี้มารับประทานเป็นประจำได้ โดยการรับประทานเป็นผักสลัด หรือ นำไปทำอาหาร ใส่ซอส และซุปต่าง ๆ (Sakpere& Aremu, 2008)

Telfairia occidentalis เป็นผักใบเขียว ที่มีขั้วอ่อน และสามารถนำเมล็ดมารับประทานได้ เป็นผักที่มีการเพาะปลูกและรับประทานทั่วไปในภาคตะวันออกของประเทศไนจีเรีย ชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า Flute Pumpkin หรือฟักทองร่องยักษ์ ชนเผ่า Igho ในไนจีเรีย เรียกมันว่า  “Ugu” และ ชนเผ่า Yorubas เรียกว่า “Apiroko” ชาว Efik เรียกว่า “Ubong” (Akoroda, 1990) ทั้งใบ เมล็ด และกิ่งของฟักทองร่องยักษ์ มีคุณสมบัติสำคัญต่อร่างกายมนุษย์ เนื่องจากมีโปรตีนสูง (Akoroda, 1990) ชาวบ้านท้องถิ่นนี้ใช้ในการรักษาโรคชัก โรคโลหิตจาง เป็นพืชผัก ที่เหมาะแก่การนำมาทำซุป (Wikipedia, 2020)

มีงานวิจัยจำนวนมาก บ่งชี้วิธีการเพาะปลูก และนำผักชนิดนี้มาใช้ประโยชน์ทางยา เช่นนำมาใช้เพื่อสกัดสารต้านอนุมูลอิสระ และสารที่มีคุณลักษณะใกล้เคียง หรือนำมาสกัดหาแร่ธาตุในผักชนิดนี้ อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยจำนวนน้อย ที่ใช้ตัวทำละลาย สกัดสารประกอบชีวภาพ จากผักเหล่านี้ ดังนั้น งานวิจัยชิ้นนี้ จึงมุ่งเน้นไปที่การตรวจวิเคราะห์หาปริมาณสารสกัด Phytochemicals จากผักเหล่านี้ โดยใช้ตัวทำละลาย 4 ชนิด คือ เมทานอล น้ำ เอทิล อะซิเตท และคลอโรฟอร์ม โดยการวัดค่าสารที่ปรากฎหลังแยกตัวทำละลายทั้ง 4 ชนิดออกมา เพื่อหาวิธีการสกัดสารประกอบ Phytochemical ที่เหมาะสม

One thought on “การศึกษาสาร Phytochemical ในผักด้วยตัวทำละลายต่าง ๆ

Leave a comment